ชิปปิ้งจีน หลังจากที่ IMO2020 (International Maritime Organization) หรือองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมา
ได้รวบรวมข้อมูล ผลการศึกษาใหม่ของ UMAS (University Maritime Advisory Services) คาดการณ์ไว้ว่า อุตสาหกรรมการขนส่งทั่วโลกจะต้องลงทุนสูงถึงประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 60 ล้านกว่าบาท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของการลดการปล่อยคาร์บอนหรือก๊าซซัลเฟอร์
ซึ่งปัจจุบัน การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ของเรือขนส่งทางทะเลกว่าหลายหมื่นลำในโลกสูงถึง 3.5% ซึ่งตามเป้าหมายคือจะไม่ให้เกิน 0.5%
แค่เปลี่ยนเป็นน้ำมันสะอาด ยากตรงไหน ?
การลดก๊าซซัลเฟอร์ที่ว่านี้ บางคนอาจจะคิดว่า ก็แค่การเปลี่ยนน้ำมันจากการใช้น้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงไปเป็นน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำหรือไม่เกิน 0.5% หรืออาจเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลสำหรับการเดินเรือ หรือเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่สะอาดกว่า เช่น น้ำมัน NGV เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ ! แต่ในความเป็นจริงคือ เชื้อเพลิงที่สะอาดปลอดภัยและมีกำมะถันต่ำนั้น ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่โรงงานเท่านั้น ที่สามารถผลิตน้ำมันเตาที่มีกำมะถันไม่เกิน 0.5% ได้
ด้วยเหตุนี้ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันสะอาดจึงต้องมีการลงทุนสูง เช่น ต้องมีการติดตั้งหน่วยลดกำมะถัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและเงินลงทุนสูงมาก หรืออีกวิธีหนึ่งคือการพยายามหาซื้อน้ำมันกำมะถันต่ำจากทั่วโลกหรือน้ำมันดิบที่หวานมากขึ้น
2 วิธีรับมือกับ IMO2020
อย่างไรก็ตาม หากการศึกษาของ UMAS นั้นถูกต้อง จะแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เงินเป็นจำนวน 50-70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุกๆ ปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแรกของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 หรือหากอุตสาหกรรมมีการ Decarbonize (หมายถึง การกำจัดเขม่าที่เป็นคาร์บอนที่ถูกสะสมออกจากเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์) อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050 จะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นอีก 400 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีเลยทีเดียว
การพัฒนาอย่างยั่งยืนถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในภาคอุตสาหกรรมการเดินเรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากกฎระเบียบของ IMO ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา วงการชิปปิ้งโลกหรือเจ้าของเรือต่างๆ อาจยังปรับตัวไม่ทัน ซึ่งทางเลือกในการรับมือกับ IMO2020 จึงมีอยู่ 2 วิธี หนึ่งคือการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันชนิดที่มีก๊าซซัลเฟอร์ต่ำอย่างที่ทราบกัน สองคือการติดตั้งระบบบำบัดอากาศเสียบนเรือ วิธีนี้ยังคงใช้น้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงได้อยู่ แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายสูงมาก
พัฒนาอย่างช้าๆ ดีกว่าและยั่งยืนกว่า
Dr.Tristan Smith รองศาสตราจารย์แห่งสถาบันพลังงานของ UCL (University College London) หนึ่งในผู้เขียนรายงานได้กล่าวว่า ‘โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเรือเป็นสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินลงทุนระยะยาว ซึ่งโดยปกติแล้ว จะต้องค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ โดยในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้า คาดวว่าจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดความปั่นป่วนและรวดเร็ว เพื่อปรับให้เข้ากับระบบ Zero Carbon (UCL วางแผนให้อาคารเรียนทั้งหมดเป็น Zero Carbon ในปี 2024 และครอบคลุมไปถึงศูนย์สถาบันการเรียนภายในปี 2030 อีกด้วย) และสินทรัพย์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและมนุษย์จะต้องการการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ’
ด้วยมาตรการและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้วงการชิปปิ้งต่างต้องเตรียมแผนรับมือ Chinatopcargo ผู้ให้บริการชิปปิ้งจีนเองได้ตามติดปรากฎการณ์นี้เช่นกัน และมันมีอิทธิพลทำให้เกิด Shipping จีน แนวโน้มในอุตสาหกรรมขนส่งต้อนรับปี 2563 ซึ่งเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการชิปปิ้งจีนปรับตัวได้ทันตามกระแส