ในโลกการทำธุรกิจอะไรก็ตามหรือแม้แต่ธุรกิจชิปปิ้งก็ตาม จะมีตลาดอยู่แค่ 2 ประเภทที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย นั่นก็คือ ผู้บริโภคและบริษัท การวางกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจนั้น ย่อมมีความได้เปรียบและสามารถทำการตลาดไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมและตรงจุด
ยกตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณคือร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง เป้าหมายของคุณก็คือผู้บริโภค แต่ถ้าคุณขายอุปกรณ์สำนักงาน ตลาดของคุณก็คือบริษัท หรือ ‘B2B’ (B2B หรือ Business-to-Business หมายถึง การที่ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการ เพื่อนำไปผลิตต่อด้วยการเพิ่มคุณค่าให้เป็นสินค้าและบริการอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การนำไปอุปโภคหรือบริโภคเอง เช่น ซื้ออ้อยเพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำตาล เป็นต้น)
ทว่า บนโลกใบนี้ ไม่มีธุรกิจใด ที่จะสามารถตอบโจทย์คนทุกคนได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เคล็ดลับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ชิปปิ้ง ธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีน ธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจระบบโทรศัพท์บน Cloud ฯลฯ จำเป็นต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายให้แคบลง (Niche Market) เพราะการเจาะตลาดให้แคบลง ทำให้เผชิญกับคู่แข่งจำนวนน้อยกว่า ที่จะขายสินค้าแบบเดียวกัน
บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอย่าง Walmart และ Tiffany เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า เลือกเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แคบและแตกต่างกัน เช่น Walmart มุ่งกลุ่มลูกค้าที่ชอบต่อรองราคา ในขณะที่ Tiffay ดึงดูดใจกลุ่มผู้บริโภคที่ชอบเครื่องประดับหรูหรา
Lynda Falkenstein ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Nichecraft : Using Your Specialness to Focus Your Business, Corner Your Market and Make Customers Seek You Out บอกไว้ว่า สินค้าพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง (Niche Market) ไม่ได้มาแบบง่ายๆ แต่ Niche Market จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างพินิจพิเคราะห์ โดยยึดหลักที่ว่า ‘Smaller is bigger’ หมายถึงว่า การที่คุณโฟกัสไปที่จุดเล็กๆ แต่จะได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า และต่อไปนี้คือเทคนิคการค้นหาNiche Market ที่ใช่ในแบบ Lynda Falkenstein
1. จดสิ่งที่ต้องการ/วางแผนลงไปในกระดาษ
สิ่งที่ต้องจดลงไปในลิสต์ คือ กลุ่มเป้าหมายในการทำธุรกิจของคุณคือใคร ? ควรเจาะกลุ่มเฉพาะให้แคบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พิจารณาถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประเภทของธุรกิจและประเภทของลูกค้า ที่คุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเข้าถึง แต่อย่าลืมว่า คุณไม่สามารถขายสินค้าให้กับคนทุกคนได้ เพราะมันเสี่ยงเหนื่อยเปล่าและเกิดความสับสนว่าใครคือลูกค้าตัวจริงกันแน่
2. โฟกัสถึงสิ่งที่ต้องการขาย วิธีช่วยให้คุณโฟกัสได้ง่ายขึ้น เช่น
– จดสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดและทักษะที่คุณทำได้ในแต่ละอัน
– เขียนถึงความสำเร็จที่ผ่านมา
– อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ได้เรียนรู้มา
– ค้นหารูปแบบของธุรกิจ ที่จะเผยถึงความเป็นตัวคุณ
– มองหาวิธีแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า
3.มองในมุมของลูกค้า
สิ่งที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดีที่สุดคือ ‘ทำเพื่อผู้อื่น เหมือนกับที่เราทำเพื่อตัวเอง’ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมองโลกจากมุมมองของลูกค้า คุณจะเข้าใจและบอกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือคุยกับลูกค้าให้มากที่สุดถึงสิ่งที่เขาคาดหวังและกังวลใจ
4. วิเคราะห์และทดสอบ
เมื่อคุณจับคู่ระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับสินค้าได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบตลาด โดยเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้สินค้าหรือบริการฟรี การทดสอบตลาดนี้ไม่ได้เสียเงินมากนักหรอก แต่หากคุณใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากกับการทดสอบตลาด นั่นแสดงว่ามาผิดทางแล้ว !
5. ลงมือทำ
มันถึงเวลาที่จะสานต่อไอเดียและลงมือทำได้แล้ว สำหรับการเริ่มต้นและลงทุนครั้งแรก มันเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่อย่าเพิ่งกลัวไป ถ้าคุณทำการบ้านมาเป็นอย่างดี การลงสนามจริงนับเป็นความเสี่ยงที่ประเมินค่าได้ ไม่ใช่การเดิมพันแบบไม่เห็นอนาคตแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผู้สนใจอยากเริ่มต้นทำธุรกิจ ชิปปิ้ง และกำลังมองหาตลาดที่ใช่สำหรับเป็นแหล่งนำเข้าสินค้า สามารถศึกษาสินค้ามาแรง 10 อันดับในปีนี้ได้ที่ นำเข้าสินค้าจากจีน 10 สินค้ามาแรงปีนี้ ขายดีถึงปีหน้า และสามารถเลือกสินค้าคุณภาพในราคาที่คุณพึงพอใจได้ที่ Alibabaeasy ซึ่งเป็นเว็บไซต์สั่งซื้อสินค้าจากจีนที่มีความเชี่ยวชาญและให้บริการมายาวนานจนได้รับความไว้วางใจจากคนไทย