ชิปปิ้งจีน หากถามว่าประเทศใดเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกและมีมูลค่ามหาศาลมากที่สุด คงต้องยกให้เป็น ‘ประเทศจีน’
ด้วยมูลค่าการส่งออกของสินค้าทั่วโลก (ชิปปิ้งจีน) นับเป็น 2.499 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 ด้วยมูลค่ามหาศาลนี้ได้สะท้อนถึงกำไร 9.9% ตั้งแต่ปี 2015 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% จากปี 2018 ถึงปี 2019
จำนวนเงินดอลลาร์นั้นคิดเป็น 13% ของการส่งออกทั่วโลกโดยรวมสำหรับปี 2019 คำนวณได้ 19.285 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย International Trade Centre ทำการสำรวจ พบว่า 49% มีการส่งออกสินค้าจากงจีนไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียปี 2019 และอีก 19.9% สินค้าจากจีนถูกส่งออกไปยังลูกค้าในยุโรป
ในขณะที่สินค้าส่งออกของจีนถูกส่งมายังแอฟริกาคิดเป็น 4.5% ละตินอเมริกา 4.2% ไม่รวมเม็กซิโก แต่รวมถึงแคริบเบียนและโอเชียเนีย 2.3%
อย่างไรก็ตาม Chinatopcargo ผู้ให้บริการนำเข้าสินค้าจากจีนหรือชิปปิ้งจีน ได้รวบรวมข้อมูล ซึ่งต่อไปนี้คือ 15 ประเทศคู่ค้าอันดับต้นๆ ที่มีการทำธุรกิจร่วมกับจีนสูงสุดในโลกประจำปี 2019 ประเทศเหล่านี้มีการนำเข้าสินค้าจากจีน (ชิปปิ้งจีน) ทางเรือมากที่สุด โดยคิดเป็นค่าเงินดอลลาร์ในช่วงปี 2019 ตัวเลขยังแสดงให้เห็นถึงตัวเลขการนำเข้าจากจีน ส่วนตัวเลขด้านหลังเป็นจำนวนการส่งออกจากจีน
- สหรัฐอเมริกา นำเข้าจากจีน มูลค่า 418,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ 16.8% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของจีน)
- ฮ่องกง มูลค่า 279,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 11.2%)
- ญี่ปุ่น มูลค่า 143.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 5.7%)
- เกาหลีใต้ มูลค่า 111 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 4.4%)
- เวียดนาม มูลค่า 98 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3.9%)
- เยอรมนี มูลค่า 79.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3.2%)
- อินเดีย มูลค่า 74.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3%)
- เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 73.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3%)
- สหราชอาณาจักร มูลค่า 62.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.5%)
- ไต้หวัน มูลค่า 55.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.2%)
- สิงคโปร์ มูลค่า 55 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.2%)
- มาเลเซีย มูลค่า 52.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.1%)
- รัสเซีย มูลค่า 49.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2%)
- ออสเตรเลีย มูลค่า 48.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 1.9%)
- เม็กซิโก มูลค่า 46.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 1.9%)
เกือบ 2 ใน 3 คิดเป็นร้อยละ 65.9% ของการส่งออกของจีนในปี 2019 ได้ถูกส่งไปยังคู่ค้า 15 รายดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ เวียดนามได้เพิ่มการซื้อสินค้าจากจีนในอัตราเพิ่มขึ้น 16.6% จากปี 2018 อันดับ 2 คือมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 14.5% ตามด้วยไต้หวัน เพิ่มขึ้น 13.2% สิงคโปร์เพิ่มขึ้น 10.3% สหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้น 9.3%
ส่วนผู้นำอันดับหนึ่งของปีที่ผ่านมาอย่างสหรัฐอเมริกากลับลดลง -12.7% และฮ่องกงเองก็ลดลง -7.7%
อย่างไรก็ตาม จีนยังนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 2.069 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจากทั่วโลกในปี 2019 จำนวนเงินดอลลาร์นั้นเพิ่มขึ้นมา 23.2% ตั้งแต่ปี 2015 แต่ลดลง -3.1% จากปี 2018-2019 โดยอ้างอิงจากอัตราการแลกเปลี่ยนเฉลี่ยสำหรับปี 2019 เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง -10.9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2015 และลดลง -4.4% จากปี 2018 – 2019 เงินหยวนที่อ่อนค่าลง ทำให้การนำเข้าของจีน จ่ายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้นในปี 2019 ซึ่งค่อนข้างแพงกว่า เมื่อแปลงจากหยวนจีน
จากจำนวนประชากรของประเทศจีนที่มีจำนวน 1.4 พันล้านคน ทำให้การนำเข้ารวมเป็น 2,069 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 หรือเท่ากับว่าความต้องการสินค้าปีละประมาณ 1,500 เหรียญจากคนในเอเชีย และต่อไปนี้คือ 10 อันดับนำเข้าสินค้าของจีนที่น่าสนใจในช่วงปี 2019
10 อันดับนำเข้าของจีน
- เครื่องจักร, อุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 496.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 24% ของการนำเข้าทั้งหมด)
- เชื้อเพลิงแร่รวมถึงน้ำมัน มูลค่า 343.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 16.6%)
- เครื่องจักรรวมถึงคอมพิวเตอร์ มูลค่า 190.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 9.2%)
- แร่ตะกรันเถ้า มูลค่า 163.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 7.9%)
- อุปกรณ์เกี่ยวกับสายตา ,เทคนิค ,เครื่องมือแพทย์ มูลค่า 98.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 4.8%)
- ยานพาหนะ มูลค่า 75.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3.6%)
- ผลิตภัณฑ์พลาสติกและพลาสติก มูลค่า 71.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 3.5%)
- อัญมณีโลหะ มูลค่า 60.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.9%)
- สารเคมีอินทรีย์ มูลค่า 57.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2.8%)
- ทองแดง มูลค่า 40.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น 2%)
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสถิติการค้าของประเทศไทยในปี 2561 พบว่า จีนเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับที่ 1 ของไทย ตามด้วยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ในขณะที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (ก.ค. 2561) จะเห็นได้ว่า การนำเข้าสินค้าจากจีนในไทยหรือชิปปิ้งจีน ยังเป็นแหล่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากสินค้าที่ผลิตในจีน มีต้นทุนไม่แพง มีแหล่งจำหน่ายที่มีคุณภาพและหลากหลายให้เลือกสรร